พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ “พระผู้ช่วย” พระวิญญาณบริสุทธิ์มีสภาพเป็นบุคคล แม้ไม่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงมีความรู้สึก มีความรู้ มีสติปัญญา มีความสามารถในการตัดสินใจ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ “พระผู้ช่วย” พระวิญญาณบริสุทธิ์มีสภาพเป็นบุคคล แม้ไม่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงมีความรู้สึก มีความรู้ มีสติปัญญา มีความสามารถในการตัดสินใจ
1ยน.4.12, 20-21, รม.5.8 ถ้าคริสตจักรมีความสัมพันธ์กันด้วยความรัก ก็อยู่ในแบบอย่างที่พระเจ้าต้องการ ความรักเป็นกระจกชีวิตคริสเตียนประการหนึ่ง ความรักนั้นต้องมีการแสดงออกจนสัมผัสได้
อธิษฐาน พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เชื่อมกับพระองค์เมื่อข้าพระองค์แสวงหาที่จะรู้จักพระองค์และเข้าใจพระวจนะของพระองค์ 'เมื่อสิ้นสุดวาระนั้นแล้ว ตัวเราเนบูคัดเนสซาร์ก็แหงนหน้าดูฟ้าสวรรค์ และจิตใจของเราก็กลับคืนเป็นปกติ และเราก็ร้องสาธุการแด่พระผู้สูงสุดนั้น และสรรเสริญถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เพราะการปกครองของพระองค์เป็นการปกครองนิรันดร์ และราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ สำหรับพระองค์ ชาวพิภพทั้งสิ้นนับว่าไร้ค่า พระองค์ทรงทำตามชอบพระทัยท่ามกลางกองทัพแห่งสวรรค์ และท่ามกลางชาวพิภพด้วย ไม่มีผู้ใดยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ได้ หรือทูลถามพระองค์ได้ว่า “ทำไมจึงทรงทำเช่นนี้?” ' ดาเนียล…
การอธิษฐาน คือ การสนทนากับพระเจ้า เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า การมาเป็นคริสเตียน คือการที่เราหันกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเราดังเดิม ไม่ใช่การเปลี่ยนศาสนาเรื่องของคริสเตียนจึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเรา มิใช่เรื่องของพิธีกรรมและวิธีการปฏิบัติการที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้นั้น มีองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่ง คือการสนทนากับพระเจ้า ซึ่งหมายถึงการพูดคุยกับพระเจ้าโดยคำพูดของเราเองหรือเรียกอีกอย่างว่า “การอธิษฐาน” ซึ่งนับเป็นสิทธิพิเศษของคริสเตียนที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิด 1. ทำไมเราจึงต้อง “อธิษฐาน หรือสนทนากับพระเจ้า” 1.1 เป็นคำสั่งและพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราอธิษฐาน 1ธส.5:17 1.2 คริสเตียนปกติต้องสนทนากับพระเจ้า มธ.6:5-13 เป็นพระดำรัสสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน ในพระคัมภีร์ตอนนี้เริ่มว่า“เมื่อท่านอธิษฐาน” ไม่ได้ใช้คำว่า “ถ้าท่านอธิษฐาน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของผู้เชื่อในสมัยนั้น…
“การเชื่อฟัง” เป็นพื้นฐานในชีวิตคริสเตียนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเราเห็นตัวอย่างการไม่เชื่อฟังครั้งแรกในโลกของมนุษย์คู่แรก จึงทำให้ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานและความบาป (ปฐก.3) และเห็นถึงตัวอย่างอิทธิพลของการเชื่อฟังของพระเยซูคริสต์ที่ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา (ฟป.2:8) ซึ่งเป็นเหตุให้คนทั่วโลกได้รับพระพรดังนั้น “การเชื่อฟัง” จึงเป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่าง การเชื่อฟังพระเจ้านำพระพรและชัยชนะมาสู่ชีวิตของคริสเตียน ถ้ามีแต่ความเชื่อแต่ปราศจากการเชื่อฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไร แม้แต่มารก็เชื่อพระเจ้าและกลัวจนตัวสั่น (ยก.2.19) มีคริสเตียนไม่น้อยที่เชื่อพระเจ้าแต่ไม่ยอมจำนนต่อพระองค์ ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป แต่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นเจ้าชีวิต คริสเตียนเหล่านั้นยังเป็นเจ้านายเหนือชีวิตตัวเอง ทำตามใจตัวเอง ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ชีวิตจึงไม่เกิดผล มีความสับสน ขาดสันติสุข ขาดพลัง และเป็นหินสดุดของคนเป็นอันมาก ไม่มีสิ่งใดทดแทนการเชื่อฟังได้ พระเจ้าพอพระทัยการเชื่อฟังมากกว่าการถวายเครื่องบูชาใดๆ 1ซมอ.15.22 ดังนั้น การเชื่อฟังพระเจ้าทำให้ทำให้คริสเตียนเจริญก้าวหน้าในชีวิต 1ยน.2.3-4 ผลของการเชื่อฟังเป็นกุญแจสำคัญทำให้คริสเตียนมีชัยชนะ…
พระเจ้าได้ตั้งเราในธรรมชาติให้เกิดในครอบครัวและมีพ่อแม่เป็นผู้ดูแล เมื่อเรามารู้จักพระเจ้า เราก็ได้รับฐานะใหม่ในการเป็น “ลูกของพระเจ้า” และเป็นสมาชิกในครอบครัวในคริสตจักร เราปรารถนามีผู้ดูแลชีวิตเราในทางธรรมชาติอย่างไร เราก็ปรารถนามีผู้ดูแลเราในครอบครัวในคริสตจักรอย่างนั้นเช่นกัน เพราะจำเป็นที่เราต้องถูกฟูมฟักและทะนุถนอมจากผู้ดูแลเรา พระเจ้าจึงมีแผนการอันดีในการตั้งคริสตจักรท้องถิ่นให้เป็นเสมือนครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเรา 1. ความหมาย“คริสตจักร” “คริสตจักร” หมายถึง กลุ่มคนที่กลับใจบังเกิดใหม่ เชื่อวางใจในองค์พระเยซูคริสต์และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่ มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ถูกตรึงที่ไม้กางเขนเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายโดยสละพระชนม์ชีพและพระโลหิตของพระองค์เองเป็นค่าไถ่ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นคนบาปให้พ้นจากความบาปนั้นและได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าดังเดิม เมื่อมีคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มารวมตัวกันมากขึ้นในที่แห่งเดียวกันใน ชุมชนนั้น ๆ เราเรียกว่า คริสตจักรท้องถิ่น และเมื่อมีคนที่เชื่อเกิดขึ้นมากมายตามชุมชนตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วโลก…
ปฐก.1-2 ได้บรรยายให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกอย่างดี ทุกสิ่งสวยงาม อุดมสมบูรณ์และมนุษย์ไม่มีบาปเลย แต่ปัจจุบันเรากลับเห็นว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความชั่วร้าย อิจฉาริษยากัน ชิงดีชิงเด่นกัน ฆ่ากัน สภาพธรรมชาติก็เปลี่ยนไป มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นมากมาย มลภาวะเป็นพิษก็มีมาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 1. บาปเข้ามาในโลกได้อย่างไร? ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า เริ่มแรกนั้นพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งล้วนแต่ดี ทั้งมนุษย์ก็สมบูรณ์ไม่มีบาป แต่เพราะมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า การไม่เชื่อฟังคือความบาป ทันทีที่มนุษย์ไม่เชื่อฟัง ความบาปก็ได้เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์และในโลกนี้ 2. ความหมายของบาปตามหลัการพระคัมภีร์ 2.1 การเลือกทำตามใจตนเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก ไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจด้วยตนเองได้ แต่พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สามารถติดต่อกันได้ โดยพระองค์ให้แนวทางในการตัดสินใจแก่มนุษย์ และพระองค์คาดหวังให้มนุษย์เลือกเดินตามทางของพระองค์ แต่มนุษย์กลับเลือกที่จะทำตามใจตนเอง มนุษย์เอาตนเองเป็นใหญ่ และเลือกทำตามใจตนเองนั้นจึงเป็นบาป…
มธ.10:32-33 การรับพระเยซูต่อหน้าคนอื่น คือการเป็นพยานกับผู้อื่นถึงความเชื่อของเราที่มีต่อพระเจ้า จากพระคัมภีร์ข้อนี้เราเห็นความสำคัญของการที่เราต้องเป็นพยานกับผู้อื่น เพราะการเป็นพยานเป็นการแสดงออกของการยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์ถ้าหากเราไม่ยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์พระเยซูก็จะไม่ยอมรับเราต่อหน้าพระเจ้าด้วยเช่นกัน คริสตจักรยุคแรก ๆ เราพบว่าคนที่เป็นคริสเตียนต้องรับการข่มเหงต่าง ๆ นานาบางคนได้รับการข่มเหงจนถึงแก่ชีวิต ก็เพราะเขาไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูคริสเตียนในยุคแรกมิได้เป็นคริสเตียนที่อยู่เฉย ๆ แต่เมื่อเชื่อแล้วก็เป็นพยานถึงความเชื่อนั้นด้วยความร้อนรน และผู้มีอำนาจหรือทางราชการในเวลานั้นถือว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนานอกกฎหมายการเป็นพยานเรื่องของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการผิดกฎหมายการเป็นพยานของคริสเตียนในสมัยนั้นจึงมีความยากลำบากมากแต่ถึงกระนั้นคริสเตียนในยุคแรกก็ยังยอมพลีชีวิตเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ คริสเตียนไทยในปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาถูกห้ามการเผยแพร่ศาสนา แต่สำคัญคือเรื่องความอายหรือการกลัวว่าจะไม่ถูกยอมรับในสังคมพระคัมภีร์ข้อดังกล่าวจึงช่วยเราได้มาก ที่จะช่วยให้เรามีความกล้าที่จะเป็นพยานเพราะถ้าเราอายที่จะรับว่าเราเชื่อในพระเยซูพระเยซูเองก็จะอายที่จะยอมรับกับพระเจ้าว่าเราเป็นสาวกของพระองค์ ยังพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่คริสเตียนไม่ค่อยเป็นพยานเป็นเพราะ “ไม่รู้ว่าจะเป็นพยานอย่างไร?” ใน มธ.28:19 การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเป็นพยานชีวิตและการเป็นพยานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เราต้องทำความเข้าใจ “ขั้นตอน” ต่างๆ ดังนี้…
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบเดียวสำหรับมนุษย์ แม้ว่าจะมีข้อเสนอมากมายที่ยื่นให้มนุษย์ เพื่อจะเลือกดำเนินชีวิตแต่มนุษย์ก็ไร้ความหวังในทุกวิถีทางเหล่านั้น พระเจ้าได้เสนอหนทางแห่งความรอดแก่มนุษย์ เพื่อนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ก) พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้น ยน.14.6 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” กจ.4.12 “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลยด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” อฟ.2.8-9 “ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อและมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” เราจึงมั่นใจได้ในความรอดที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้โดยทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นคริสเตียน เป็นความรอดที่มั่นคงถาวร…
พระเจ้าเปรียบผู้เชื่อในพระองค์ว่าทุกคนเป็นลูกแกะของพระองค์ ที่พระองค์ต้องดูแล เลี้ยงดู เอาใจใส่ทะนุถนอม แนะนำสั่งสอน ลงโทษเมื่อทำผิด เพราะวิสัยของแกะขาดผู้เลี้ยงไม่ได้แกะจะหลงหาย ช่วยตัวเองไม่ได้เมื่อเผชิญกับปัญหา พระเจ้าจึงทรงเป็นผู้เลี้ยงที่รักในชีวิตคริสเตียน และยิ่งกว่านั้นพระวจนะของพระเจ้ามาถึงผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนว่า ถ้าเรารักพระเจ้าให้เราเลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์ การเห็นคุณค่าผู้เลี้ยง ยน.21.15-17 แสดงถึงความสำคัญและการเห็นคุณค่าในการเป็นพี่เลี้ยงดูแลแกะ 1ปต.5.2 อัครทูตเปโตรกำชับเราให้เป็นผู้เลี้ยงแกะ คุณลักษณะของการเป็นพี่เลี้ยง สดด.23.1-6 เลี้ยงดูแกะไม่ให้ขัดสน ก. สดด.23.2ก ไม่ขัดสนฝ่ายร่างกาย ข. สดด.23.2ข ไม่ขัดสนฝ่ายจิตใจ…