มธ.10:32-33 การรับพระเยซูต่อหน้าคนอื่น คือการเป็นพยานกับผู้อื่นถึงความเชื่อของเราที่มีต่อพระเจ้า จากพระคัมภีร์ข้อนี้เราเห็นความสำคัญของการที่เราต้องเป็นพยานกับผู้อื่น เพราะการเป็นพยานเป็นการแสดงออกของการยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์ถ้าหากเราไม่ยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์พระเยซูก็จะไม่ยอมรับเราต่อหน้าพระเจ้าด้วยเช่นกัน
คริสตจักรยุคแรก ๆ เราพบว่าคนที่เป็นคริสเตียนต้องรับการข่มเหงต่าง ๆ นานาบางคนได้รับการข่มเหงจนถึงแก่ชีวิต ก็เพราะเขาไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูคริสเตียนในยุคแรกมิได้เป็นคริสเตียนที่อยู่เฉย ๆ แต่เมื่อเชื่อแล้วก็เป็นพยานถึงความเชื่อนั้นด้วยความร้อนรน และผู้มีอำนาจหรือทางราชการในเวลานั้นถือว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนานอกกฎหมายการเป็นพยานเรื่องของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการผิดกฎหมายการเป็นพยานของคริสเตียนในสมัยนั้นจึงมีความยากลำบากมากแต่ถึงกระนั้นคริสเตียนในยุคแรกก็ยังยอมพลีชีวิตเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ
คริสเตียนไทยในปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาถูกห้ามการเผยแพร่ศาสนา แต่สำคัญคือเรื่องความอายหรือการกลัวว่าจะไม่ถูกยอมรับในสังคมพระคัมภีร์ข้อดังกล่าวจึงช่วยเราได้มาก ที่จะช่วยให้เรามีความกล้าที่จะเป็นพยานเพราะถ้าเราอายที่จะรับว่าเราเชื่อในพระเยซูพระเยซูเองก็จะอายที่จะยอมรับกับพระเจ้าว่าเราเป็นสาวกของพระองค์ ยังพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่คริสเตียนไม่ค่อยเป็นพยานเป็นเพราะ “ไม่รู้ว่าจะเป็นพยานอย่างไร?” ใน มธ.28:19 การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเป็นพยานชีวิตและการเป็นพยานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เราต้องทำความเข้าใจ “ขั้นตอน” ต่างๆ ดังนี้
1. การเป็นพยานชีวิตหมายถึงอะไร การเป็นพยานชีวิต หมายถึง การเล่าถึงสิ่งที่ตนเองประสบมาซึ่งเป็นประสบการณ์ของบุคคลนั้นๆ การเป็นพยานชีวิตจึงเป็นเรื่องง่าย เพราะเป็นการเล่าเรื่องของตนเองแต่การเป็นพยานชีวิตที่ดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมโดยการเรียบเรียงคำพูดและลำดังเหตุการณ์การกลับใจของตนเองออกมาและเขียนลงในกระดาษเพื่อจะนำมาใคร่ครวญให้คำพยานชีวิตของเรานั้นถูกเรียบเรียงในความคิดด้วย ซึ่งมีขั้นตอน 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ คือ
1.1 ชีวิตก่อนเป็นคริสเตียน เล่าภูมิหลังทั่ว ๆ ไปของเรา ด้านครอบครัว สภาพแวดล้อม การศึกษา ศาสนา ความคิด อุดมการณ์ เป้าหมายชีวิตอุปนิสัย พฤติกรรม เราไม่จำเป็นต้องเล่าภูมิหลังทั้งหมดจนยืดยาวแต่ให้เล่าเฉพาะภูมิหลังที่เตรียมหรือส่งผลให้เรากลับใจมาเป็นคริสเตียน เช่นภูมิหลังเราชอบแสวงหาความหมายชีวิตแล้วก็มาพบในพระเจ้า หรือภูมิหลังเรามีปัญหาชีวิต ติดยาเสพติด การพนัน เจ็บป่วย ฯลฯ แล้วมาพบคำตอบในพระเจ้าเป็นต้น
1.2 เล่าเหตุการณ์ตอนกลับใจมาเป็นคริสเตียนมารู้จักพระเจ้า หรือเชื่อในพระเยซูได้อย่างไรการเป็นพยานในส่วนนี้ต้องมีการพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับจุดของการตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้า ว่าทำไมจึงตัดสินใจเชื่อ
- 1.2.1 เล่าถึงการได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ครั้งแรกที่ไหน? รู้สึกอย่างไร?
- 1.2.2 เล่าความรู้สึกต่อพระกิตติคุณก่อนเชื่อ
- 1.2.3 เล่าถึงสิ่งดึงดูดใจความรู้สึก หรือเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์
- 1.2.4 เล่าการตัดสินใจรับเชื่อ
-
1.3 เล่าชีวิตหลังเป็นคริสเตียน ส่วนนี้ต้องมีการพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวในอดีตก่อนเชื่อว่าได้รับคำตอบอย่างไร เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว
- 1.3.1 เล่าสิ่งที่เคยเป็นปัญหาอันเป็นภูมิหลังก่อนเป็นคริสเตียนว่าได้พบคำตอบอย่างไรในพระเจ้า
- 1.3.2 เล่าถึงลักษณะนิสัยชีวิตทีเปลี่ยนแปลงหลังจากมาเชื่ออย่างเจาะจง เช่น เลิกดื่มเหล้าเลิกสูบบุหรี่ หรือเลิกทะเลาะเบาะแว้ง ฯลฯ
- 1.3.3 เล่าถึงสันติสุขและพระพรนานาประการที่ได้รับเมื่อมาเชื่อในพระเจ้า
- 1.3.4 เล่าประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้า
2. การเป็นพยานพระกิตติคุณ การเป็นพยานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจสำคัญของการเป็นพยานกับคนไม่เชื่อเราไม่สามารถนำคนให้เชื่อพระเจ้าได้โดยคำพยานชีวิตของเราเพียงอย่างเดียว เพราะคำพยานชีวิตของเราเพียงแต่ช่วยให้เขาสนใจเรื่องของพระเยซูคริสต์เท่า นั้นดังนั้นจุดยืนสำคัญจึงเป็นเรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่ตายไถ่บาป เราซึ่งมีขั้นตอน5 ประการต่อไปนี้ คือ
2.1 เล่าถึงพระลักษณะของพระเจ้า, 1. พระผู้สร้างสูงสุด(รม.1:20), 2. ผู้ทรงบริสุทธิ์และยุติธรรม (1ปต.2:22), 3. ผู้ทรงเต็มไปด้วยความรัก (1ยน.4:8)
2.2 เล่าถึงมนุษย์ โดยกล่าวโยงจากลักษณะของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างสูงสุดว่าได้เป็นผู้สร้าง มนุษย์ขึ้นและสร้างอย่างมีเสรีภาพในการตัดสินใจมนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกทำดีก็ได้หรือทำชั่วก็ได้เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้มีเสรีภาพและมนุษย์ทุกคนได้ตัดสินใจเลือกทำบาปโดยตัวเขาเอง
2.3 เล่าถึงบาปและผลของบาป โดยกล่าวโยงจากพระลักษณะประการที่ 2 ของพระเจ้าว่า พระเจ้าบริสุทธิ์และยุติธรรมการที่มนุษย์เลือกทำบาปจึงทำให้มนุษย์ถูกแยกจากพระเจ้า (รม.3:23) บาปได้แยกระหว่าพระเจ้ากับมนุษย์ออกจากกันและพระเจ้าต้องลงโทษมนุษย์ที่ทำบาปโดยการพิพากษาให้ถึงแก่ความตายนิรันดร์ดังที่พระคัมภีร์ รม.6:23 กล่าวว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย” ค่าจ้างคือ ผลตอบแทนของการกระทำเช่นเดียวกับที่เราได้รับเงินเดือนเป็นผลตอบแทนของแรงงานที่เราทำไปเราก็จะได้รับความตายในบึงไฟนรกเป็นผลตอบแทนของการทำบาปของเรามนุษย์จึงอยู่ในสภาพที่หมดหวังและไม่สามารถช่วยตัวเองได้
2.4 เล่าถึงความรอดทางพระเยซู โดยกล่าวโยงจากลักษณะของพระเจ้าประการที่ 3 คือ พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความรักพระเจ้าไม่เพียงยุติธรรมเท่านั้น แต่มีความรักด้วยเพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องตายตกนรกบึงไฟพระเจ้าจึงจัดเตรียมหนทางแห่งความรอดสำหรับมนุษย์โดยการให้พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขนเป็นการไถ่เราออกจากบาปที่เราทำ (ยน.3:16) มนุษย์ไม่สามารถรอดจากความผิดได้โดยวิธีอื่น ๆนอกจากยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาปไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นบาปได้และยอมเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ที่ตายเพื่อเราที่กางเขนและรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยในชีวิตเท่านั้น
2.5 เล่าถึงสิ่งที่จะได้รับเมื่อเชื่อพระเจ้า 1. ได้รับชีวิตนิรันดร์(ยน.3:16) (รม.6:23), 2. ได้รับสิทธิเป็นบุตรพระเจ้า (ยน.1:12), 3. ได้รับสันติสุข(ยน.14:27), 4. ได้รับชีวิตใหม่(2คร.5:17)
ขั้นตอนที่ 5 เป็นการท้าทายให้ผู้สนใจตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปอย่าลืมเปิดพระคัมภีร์อ่านให้ผู้สนใจฟังเมื่อพูดถึงสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อเชื่อ เป็นการเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานผ่านพระวจนะของพระเจ้าและอย่าลืมเน้นให้ผู้สนใจทราบว่าทั้ง4 สิ่งนี้เขาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินเป็นล้าน ๆแต่เขาสามารถได้มาฟรี ๆ โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นอย่าลืมเล่าคำพยานของตนเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าให้เขาฟังด้วยและหากเขาพร้อมจะเชื่อก็ให้นำรับเชื่อเลย
หมายเหตุ ควรท่องจำขั้นตอนต่าง ๆ ของการเป็นพยานไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อจะเป็นพยานได้โดยไม่วกไปวนมาแต่ไปทีละขั้นตอนจนสำเร็จ
สรุป รม.1:14-15 เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกอารยะและพวกอนารยะชนด้วยเป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลาด้วยฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย” การเป็นพยานประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นสิ่งที่เราควรทำด้วยความกระตือรือร้นขวนขวาย เพราะความรู้สึกของการเป็นหนี้
คริสเตียนทุกคนเป็นหนี้คนที่ยังไม่เชื่อเพราะเราได้รับความจริงเรื่องความรอดแล้วและพระเยซูได้สั่งให้เราออกไปประกาศทางรอดนี้แก่คนอื่น ๆ ด้วยเราที่เป็นคริสเตียนทุกคนจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการเป็นพยานประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆและการเรียนรู้ขั้นตอนการเป็นพยานดังกล่าวจะช่วยเราให้สามารถเป็นพยานได้อย่างเกิดผล