การอธิษฐาน คือ การสนทนากับพระเจ้า เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า การมาเป็นคริสเตียน คือการที่เราหันกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเราดังเดิม ไม่ใช่การเปลี่ยนศาสนาเรื่องของคริสเตียนจึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเรา มิใช่เรื่องของพิธีกรรมและวิธีการปฏิบัติการที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้นั้น มีองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่ง คือการสนทนากับพระเจ้า ซึ่งหมายถึงการพูดคุยกับพระเจ้าโดยคำพูดของเราเองหรือเรียกอีกอย่างว่า “การอธิษฐาน” ซึ่งนับเป็นสิทธิพิเศษของคริสเตียนที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิด
1. ทำไมเราจึงต้อง “อธิษฐาน หรือสนทนากับพระเจ้า”
1.1 เป็นคำสั่งและพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราอธิษฐาน 1ธส.5:17
1.2 คริสเตียนปกติต้องสนทนากับพระเจ้า มธ.6:5-13 เป็นพระดำรัสสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน ในพระคัมภีร์ตอนนี้เริ่มว่า“เมื่อท่านอธิษฐาน” ไม่ได้ใช้คำว่า “ถ้าท่านอธิษฐาน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของผู้เชื่อในสมัยนั้น
1.3 พระเยซูได้เป็นแบบอย่างในการให้ความสำคัญต่อการอธิษฐาน มก.1:35 “ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐานที่นั่น” พระเยซูเองที่เป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์ก็ยังทรงอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ยน.17:1-26 แสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเราที่เราไม่ควรขาด
1.4 พระเจ้าคอยสดับฟังเสียงของเราอยู่ สดด.5:3“ข้าแต่พระเจ้าในเวลาเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์ซึ่งข้าพระองค์เตรียมถวายเครื่องสักการะบูชาแด่พระองค์และเฝ้าคอยดูอยู่” กษัตริย์ดาวิดดำเนินชีวิตโดยการอธิษฐานกับพระเจ้าทุก ๆเช้าเสมอ
1.5 เพื่อเราจะไม่พ่ายแพ้ต่อการทดลอง มก.14:38 “ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ถูกทดลองจิตใจพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลัง” ถ้าเราไม่อยากเป็นคนที่พ่ายแพ้เราต้องเฝ้าระวังอธิษฐาน โดยสรุปแล้วชีวิตคริสเตียนที่ปกติต้องมีการอธิษฐานหรือสนทนากับพระเจ้าาในฐานะที่พระองค์เป็นบิดาและเราเป็นบุตร ยน.1:12ไม่มีบุตรคนใดที่ไม่พูดคุยกับบิดาฉันใดคริสเตียนก็ไม่ควรหยุดที่จะสนทนากับพระเจ้าฉันนั้น
2. องค์ประกอบของการ “อธิษฐาน หรือสนทนากับพระเจ้า”
“การสนทนา” เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล 2 ฝ่ายซึ่งในที่นี้ หมายถึง ตัวเรากับพระเจ้า เราจึงไม่เพียงแต่คุยกับพระเจ้าเท่านั้นแต่ให้พระเจ้าคุยกับเราด้วย เราต้องเข้าหาพระเจ้าด้วยความเชื่อ ฮบ.11:6 ในการคุยกับพระเจ้าของเรานั้นเราต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ
2.1 การสรรเสริญพระเจ้า สดด.96:1-13 คริสเตียนสรรเสริญพระเจ้า คือ การที่เราพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าเป็นมีเรื่องมากมายที่เราสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ไม่หมดสิ้น เช่นสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความเที่ยงตรงและยุติธรรมของพระเจ้าสรรเสริญสำหรับพระเมตตาและความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราสรรเสริญสำหรับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เป็นต้นทุกครั้งที่เราเข้าเฝ้าพระเจ้าเราจึงควรยกย่องสรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น
2.2 การขอบพระคุณ สดด.106:1, อฟ.5:20 เป็นการแสดงความรู้สึกกตัญญูในสิ่งที่พระเจ้ากระทำคือการพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา หรือเพื่อคนอื่น หรือสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทำ คริสเตียนโดยส่วนใหญ่จะขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา อย่างไรก็ตามคริสเตียนมีเรื่องมากมายที่ควรขอบพระคุณพระเจ้าไม่หมดสิ้น เช่น สุขภาพที่ดีของเราการเลี้ยงดูของพระเจ้า เพื่อน พี่น้องที่ดี ๆที่พระเจ้าให้มาอยู่ล้อมรอบชีวิตของเรา การงานอาชีพที่เรามี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความรอด” ที่เราได้รับโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะหยุดขอบพระคุณพระเจ้าเพราะการขอบพระคุณเป็นการแสดงว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งในชีวิตของเรา
2.3 การสารภาพบาป สดด.32:1, 1ยน.1:9 เป็นการสารภาพถึงบาปที่เราได้กระทำไม่ว่าจะเป็นบาปเล็กบาปน้อยในชีวิตของเราและไม่ว่าจะเป็นการกระทำต่อมนุษย์หรือต่อพระเจ้าเมื่อเรารู้ว่าเรากระทำผิดไปจากมาตรฐานของพระเจ้าหรือพลาดจากมาตรฐานที่ ควรเป็นการสารภาพจะนำมาซึ่งการปลดปล่อยและอิสรภาพ ทำให้เราเป็นไทในการเริ่มต้นวันใหม่ ๆกับพระเจ้าเพราะฉะนั้นคริสเตียนจึงไม่ควรละเลยการสารภาพบาปของเราในการสนทนาประจำวันกับพระเจ้า
2.4 การทูลขอ มธ.7:7-11, ยน.14:13-14 คริสเตียนมีสิทธิ์ที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในความจำเป็นของชีวิตเพราะเรามีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า การมีความสัมพันธ์ฉันท์บิดากับบุตรนี้ทำให้เราสามารถอธิษฐานขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเจ้าได้แต่ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ควรขอเพื่อตนเองเท่านั้นแต่ควรขอเพื่อผู้อื่นด้วย
2.5 การฟังเสียงของพระเจ้า สดด.37:7, 2ทธ.3:16-17 ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การสนทนาเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ เรากับพระเจ้าใน 4 ประการข้างต้นเป็นการสื่อสารจากเราถึงพระเจ้า แต่การฟังเป็นการรับการสื่อสารจากพระเจ้าที่มาถึงเรา พระเจ้าพูดกับเราได้หลายวิธีแต่ส่วนใหญ่พระเจ้ามักจะพูดกับเราผ่านทางการใคร่ครวญพระคัมภีร์หรืออาจพูดกับเราโดยตรงภายในวิญญาณจิตของเราซึ่งเราสามารถสัมผัสได้ภายในส่วนลึกของจิตใจดังนั้นในการสนทนาประจำวันของเรากับพระเจ้าจึงไม่สามารถขาดองค์ประกอบของการฟังเสียงของพระเจ้าได้อย่างเด็ดขาด เพราะนั่นคือการเปิดโอกาสให้พระเจ้าพูดกับเราโดยการสงบเงียบฟังเสียงของพระเจ้าภายในใจ หรือ โดยการใคร่ครวญพระคัมภีร์ซึ่งการอ่านพระคัมภีร์เป็นตอน ๆ ต่อเนื่องกันเล่มใดเล่มหนึ่งจะดีกว่าเปิดพระคัมภีร์อ่านโดยไร้ทิศทาง
3.การตั้งเวลาสำหรับการ“อธิษฐาน หรือ สนทนากับพระเจ้า”
ถึงแม้ว่าเราสามารถสนทนากับพระเจ้าในทุก ๆ แห่งและทุกเวลา แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีเวลาประจำที่ตั้งไว้สำหรับการสนทนากับพระ เจ้าทุกๆ วัน ซึ่ง
โดยทั่วไปเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการอธิษฐาน คือ เวลาเช้ามืดเพราะเป็นเวลาที่สงบและจิตใจปลอดโปร่ง
กษัตริย์ดาวิดและพระเยซูก็มักจะลุกขึ้นมาอธิษฐานในเวลานี้เสมอ สดด.5:3มก.1:35 อย่างไรก็ตามเราควรเลือกเวลาที่เราสะดวกที่สุดเพื่อเราจะมีใจจดจ่อกับพระเจ้าโดยไม่ต้องกังวลใจกับภาระกิจต่าง ๆ โดยสรุป คือ
- 3.1 ตั้งเวลาเจาะจงที่จะอธิษฐานประจำวันกับพระเจ้าแม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ
- 3.2 กำหนดสถานที่เจาะจง พระคัมภีร์เรียกว่า “ห้องชั้นใน” มธ.6:6
- 3.3 อธิษฐานด้วยความยำเกรงพระเจ้าในระหว่างเวลาสนทนากับพระเจ้า
- 3.4 ไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคในการ“อธิษฐาน หรือ สนทนากับพระเจ้า”ประจำวันกับพระเจ้า
- 3.5 การมาร่วมอธิษฐานส่วนรวม มธ.18:19-20, กจ.2:42 ทำให้เกิดพลังอย่างมากมาย เช่น ที่คริสตจักร อธิษฐานรุ่งอรุณศุกร์อธิษฐาน เป็นต้น
ข้อพระคัมภีร์ท่องจำ สดด.5:3 “ข้าแต่พระเจ้าในเวลาเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์ซึ่งข้าพระองค์เตรียมถวายเครื่องสักการะบูชาแด่พระองค์และเฝ้าคอยดูอยู่”